Free Essay

My Mind

In:

Submitted By swocream
Words 872
Pages 4
ยาและอาหารเสริม

นางสาว ณัฐณา กะเรนทรและคณะ

รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของ วิชา ไอเอส ๒ (IS ๓๐๒๐๒)
ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๕๖
โรงเรียน นวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา ๒

ยาและอาหารเสริม

เสนอ
อาจารย์ รัชนี ตันติพันธุ์วดี

ผู้จัดทำ นางสาว ณัฐณา กะเรนทร เลขที่ ๑๗ นางสาว อารยา สิงห์สูง เลขที่ ๒๒ นางสาว ชลธิชา สารทสาร เลขที่ ๔๗ นางสาว ธิดารัตน์ เพชรด้วง เลขที่ ๔๘
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕/๕

รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของ วิชา ไอเอส ๒ (IS ๓๐๒๐๒)
ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๕๖
โรงเรียน นวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา ๒
บทคัดย่อ
พวกเราคงคุ้นเคยกับคำว่า “รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่” คืออาหารจำพวก คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามิน และเกลือแร่ แต่จากสภาวะเร่งในชีวิตประจำวันทำให้บางคนไม่สามารถปฏิบัติตนตามนั้นได้ เช่น ต้องรีบตื่นแต่เช้าไปทำงานหรือเรียนหนังสือ ต้องทำงานยุ่งทั้งวันทำให้รู้สึกอ่อนเพลียและเครียด ทำให้ปัจจุบัน “ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร” จึงเข้ามามีบทบาทในชีวิตใครหลายๆคน แต่เจ้าอาหารเสริมจะดีและสำคัญจริงหรือไม่ อย่างไร ผู้จัดทำจึงนำข้อมูลมาสรุปให้ดังนี้ หลายคนคิดว่าอาหารเสริมสะดวกต่อการรับประทาน และทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนตามความต้องการ ซึ่ง เป็นความเชื่อที่ผิด อย่างไรก็ดี บางสภาวะของร่างกาย เช่น ผู้ป่วยที่เบื่ออาหาร หญิงตั้งครรภ์ ร่างกายจำเป็นต้องได้รับสารอาหารมากกว่าปกติ ดังนั้นการรับประทานอาหารเสริมจึงอาจมีความจำเป็น หากเรามีร่างกายแข็งแรงเป็นปกติ แต่ เลือกรับประทานอาหาร ก็อาจทำให้ร่างกายขาดสารอาหารบางชนิดได้เช่นกัน ส่วนความแตกต่างระหว่างยาและอาหารเสริมคือ ยา คือ สารเคมีหรือสารอื่น ๆ ที่ใช้ในการบำบัดป้องกันและรักษาโรคในคนและสัตว์ ดังนั้นอะไรก็ตามที่จัดว่าเป็นยา จึงมีด้วยกันมากมายหลายชนิด ซึ่งอาจกล่าวได้ว่ายาทุกชนิดเป็นสารพิษต่อร่างกาย ถ้าใช้ไม่ถูกต้องก็จะทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้ ยาจึงไม่ใช่สิ่งที่ควรหยิบกินเองโดยไม่มีเหตุผล ยาส่วนใหญ่ที่ใช้กันในปัจจุบัน ได้จากการสังเคราะห์ทางเคมี และได้จากของที่เป็นธรรมชาติ เช่น จากพืช จากอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของสัตว์ เป็นต้น

คำนำ รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา IS ทางคณะผู้จัดทำได้ทำการอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับยาและอาหารเสริม ว่ายาและอาหารเสริมแตกต่างกันอย่างไร ว่ายามีกี่ประเภท การแพ้ยา บอกถึงส่วนประกอบต่างๆ เช่นฉลากยา ใบกำกับยา รวมถึงโทษและประโยชน์ของยาและอาหารเสริม การศึกษาเกี่ยวกับยาและอาหารเสริมนี้จะทำให้สามารถเข้าใจ และสามารถเลือกใช้ยาได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม นอกจากนี้ทางคณะผู้จัดทำได้ศึกษาหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับบทความทางการแพทย์แล้วจังได้จัดทำการสำรวจความคิดเห็นจากบุคคลทั่วไป จำนวน 30 คน พบว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจเกี่ยวกับยาและอาหารเสริมเป็นอย่างดี และไม่รับประทานอาหารเสริมเพราะคิดว่าอาหารเสริมไม่จำเป็นต่อชีวิต ทางคณะผู้จัดทำขอขอบคุณ อาจารย์รัชนี ตันติพันธุ์วดี และ อาจารย์วรวีญ์ พูลสวัสดิ์ ที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับยาและอาหารเสริมจนเกิดผลสำเร็จ หากมีข้อผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

คณะผู้จัดทำ

สารบัญ
เรื่อง หน้า
ยา 1 * ฉลากยา 1 * เอกสารกำกับยา 2-3 * ประเภทของยา 4-5 * รูปแบบของยา 6 * การกินยาก่อนอาหารและหลังอาหาร 7 * ไม่ควรซื้อยากินเอง 7 * ยาที่ซื้อเองได้ 8 * การแพ้ยา 8 * หลังการใช้ยาให้ปลอดภัย 9 * ยาที่ไม่ควรกินคู่กัน 9-11
อาหารเสริม 12 * ข้อควรทราบเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 13 * การผลิต/จำหน่าย/โฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 14
ยากับอาหารเสริม ต่างกันอย่างไร 15
ความคิดเห็นเกี่ยวกับยาและผลิตภัณฑ์อาหารเสริม 16
สรุป 17
อ้างอิง 18

1
ยา
ยา ในที่นี้ คือ ยารักษาโรค (Pharmaceutical drug, drug, Medicines, Medication, หรือ Medicament)
หมายถึงวัตถุ และ สารเคมีที่ใช้ในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บของมนุษย์ และสัตว์ โดยต้องใช้ความรู้ทั้งทาง
วิทยาศาสตร์ และศิลปะมาผนวกในการ ผสม ปรุงแต่ง และแปรสภาพสาระสำคัญ และส่วนประกอบอื่นๆตามสูตรปัจจุบันวิทยาการทางการแพทย์ได้พัฒนาไปอย่างมากมาย และได้มีการคิดค้นผลิตภัณฑ์ยาที่นอกจากใช้รักษาโรคแล้ว ยังใช้ในการป้องกัน บำรุง และช่วยฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรง และสามารถต้านทานโรคที่จะเข้ามาคุกคามร่างกายได้อีกด้วย เช่นการที่เราฉีดวัคซีน

ฉลากยา
ฉลากยา เป็นเอกสารระบุรายละเอียดต่างๆ * บอกถึงชื่อยา ทั้งชื่อการค้า และชื่อยาสามัญ พร้อมทั้งปริมาณตัวยาต่อหน่วย เช่น มิลลิกรัม/เม็ด มิลลิกรัม/ช้อนชา * สรรพคุณที่ใช้รักษาโรค * ขนาดและวิธีใช้/ขนาดในการรับรับประทานของเด็กและผู้ใหญ่ * บริษัทผู้ผลิต พร้อมที่อยู่ * ประเภทของยาว่าเป็นประเภทอะไร เช่น ยาอันตราย ยาควบคุมพิเศษ ยาเสพติดให้โทษ วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภท 1, 2, 3 หรือ 4 หรือยาสามัญประจำบ้าน * เลขที่วันที่ผลิต วันหมดอายุ * เลขที่ทะเบียนยา ที่กระทรวงสาธารณสุขรับรองอนุญาตไว้
2
เอกสารกำกับยา เอกสารกำกับยา เป็นเอกสารระบุรายละเอียดต่างๆของยา โดยจะมีข้อมูลเกี่ยวกับยาในเชิงลึกมากกว่าฉลากยา ส่วนใหญ่แล้วเป็นข้อมูลเชิงวิชาการ โดยทั่วไปเอกสารกำกับยาจะประกอบด้วยรายละเอียด ดังนี้ * ชื่อยาที่เป็นชื่อการค้า โดยใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ * สูตรยา ที่แจกแจงรายละเอียดของชื่อสามัญ (ชื่อจริงของยา) ของตัวยาสำคัญ โดยจะระบุน้ำหนักต่อหน่วย เช่น 500 มิลลิกรัม/เม็ด 125 มิลลิกรัม/ช้อนชา * ลักษณะยา โดยบ่งบอกว่าเป็นยาน้ำ ยาเม็ด ยาแคปซูล ยาฉีด ยาผง ยาครีม ยาขี้ผึ้ง ฯลฯ และบ่งบอกสี กลิ่น รส เคลือบฟิล์ม เคลือบน้ำตาล ซึ่งเป็นลักษณะประจำ ตัวของยานั้นๆ * คุณสมบัติในการรักษาโรค โดยระบุรายละเอียดและก็กลไกของยาที่ออกฤทธิ์ในการรักษาโรค มักจะใช้คำศัพท์วิชาการมาบรรยายเนื้อหา จึงเป็นการยากที่เราจะทำความเข้าใจ * ขนาดวิธีใช้ วิธีรับประทานตามน้ำหนัก อายุ ลักษณะความเจ็บป่วย โดยจะมีระยะเวลาของการใช้ยากำกับมาด้วย * ข้อห้ามในใช้ยา เป็นการระบุการห้ามใช้ยากับผู้ที่แพ้ยาหรือผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อรังบางอย่าง ซึ่งเมื่อใช้ยานั้นๆ อาจทำให้เกิดอันตรายได้
คำเตือนและข้อควรระวัง เป็นการระบุและเฝ้าระวังก่อนใช้ยา โดยมักระบุถึงความน่าจะเป็น หรืออาจเกิดโทษต่อระบบต่างๆของร่างกาย เช่น ต่อระบบทางเดินอาหาร ระบบหัวใจและหลอดเลือด ต่อทารกในครรภ์ ต่อเด็กที่ต้องดื่มนมแม่ ฯลฯ หากผู้บริโภคทำความเข้าใจ ก็จะเป็นช่องทางหนึ่งที่ช่วยให้การใช้ยามีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น * ผลข้างเคียงของการใช้ยา ซึ่งอาจเกิดขึ้นหลังการใช้ยานั้น โดยจะแสดงอาการที่ไม่พึงประสงค์ต่างๆต่อร่างกาย ผลข้างเคียงของยานั้นอาจจะเกิด หรือไม่เกิดกับใครคนใดคนหนึ่ง ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของร่างกายของแต่ละคน อีกทั้งยังขึ้นอยู่กับระดับ หรือปริมาณยาที่ได้รับเข้าไปด้วย *
3
* ปฏิกิริยากับยาอื่นๆ ในขณะที่ผู้ป่วยได้รับยามากกว่า 1 ชนิด ยาแต่ละชนิดอาจทำปฏิกิริยากันจนส่งผลเสียต่อร่างกายของเราได้ หรือว่าหมดคุณสมบัติของการรักษาโรค ในข้อนี้เอกสารกำกับก็ยาจะระบุชื่อยาที่มีปฏิกิริยาซึ่งกันและกัน และกล่าวถึงผล ลัพธ์ที่จะติดตามมาด้วย * การใช้ยาในสตรีมีครรภ์ หรือว่าสตรีที่อยู่ในสภาวะให้นมบุตร โดยจะกล่าวถึงข้อห้ามในการใช้ การกระจายตัวของยาจากแม่สู่ทารกดังนั้น จึงเป็นข้อตระหนักของประชาชนโดยทั่วไปว่า ไม่สมควรซื้อยารับประทานเองในขณะที่ตั้งครรภ์ หรืออยู่ในภาวะให้นมบุตรเพราะยาหลายชนิดนั้นมีอันตรายต่อเด็กและต่อมารดาที่ตั้งครรภ์อยู่ * คุณสมบัติทางเภสัชวิทยานั้นจะระบุกลไก หรือว่าวิธีการที่ยาออกฤทธิ์ต่อร่างกาย รวมไปถึงการดูดซึม และการกระจายตัวของยาไปยังอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายจนกระทั่งขับยาออกมาจากร่างกาย * วิธีการเก็บรักษายาเพื่อนคงคุณภาพของยา และรักษาอายุของยาได้ตามกำหนด โดยจะระบุถึงเงื่อนไขที่ใช้ในการเก็บยา เช่น การเก็บให้พ้นแสง เก็บให้พ้นมือเด็ก เก็บในที่อุณหภูมิไม่เกินกี่องศา เก็บในที่แห้ง อยู่ในภาชนะที่ปิดสนิทมิดชิดและไม่สัมผัสกับอากาศภายนอก * ขนาดบรรจนั้น จะระบุปริมาณบรรจุยาต่อภาชนะที่ใช้บรรจุ เช่น บรรจุ 1,000 เม็ดต่อขวด บรรจุ 180 ซีซี ต่อขวด * บอกบริษัทผู้ผลิตพร้อมกับที่อยู่ รายละเอียดของเอกสารกำกับยาของแต่ละบริษัทอาจมีข้อมูลมากกว่าหรือว่าน้อยกว่าหัวข้อข้างต้นก็ได้ หากผู้บริโภคสามารถอ่านและศึกษาทำความเข้าใจก็จะเป็นประโยชน์ต่อการนำไปใช้ได้ดียิ่งขึ้น และเมื่อมีข้อสงสัยในเรื่องของยา ควรปรึกษา แพทย์ พยาบาล หรือ เภสัชกร เพิ่มเติมเสมอ

4
ประเภทของยา
ประเภทของยานั้นหากแบ่งยาแผนปัจจุบันตามหลักของกฎหมายโดยสำนักคณะกรรมการอาหารและยา สามารถจำแนกยาเป็นหมวดได้ดังนี้ * ยาสามัญประจำบ้าน เป็นยาที่ใช้รักษาอาการของโรคที่ไม่ค่อยร้ายแรงหรือว่าซับซ้อนมากนัก และสามารถซื้อได้ง่ายมีจำหน่ายตามร้านขายยาทั่วไป ยกตัวอย่างเช่น ยาเม็ดลดกรดอะลูมินา-แมกนีเซีย ทิงเจอร์มหาหิงคุ์ ยาแก้ท้องเสียผงน้ำตาลเกลือแร่ ยาธาตุน้ำแดง ยาระบายกลีเซอรีนชนิดเหน็บทวารสำหรับเด็ก ยาระบายแมกนีเซีย ยาถ่ายพยาธิตัวกลมมีเบนดาโซล

* ยาอันตราย จัดเป็นยาที่มีจำหน่ายในร้านขายยาแผนปัจจุบันมากที่สุด โดยมีการระบุคำว่า “ยาอันตราย”แพ้ยาจนไม่สามารถใช้ยาตัวที่แพ้ได้อีก นอกจากเงื่อนไขในการใช้ยารักษาโรคแล้ว ยังต้องอาศัยการวินิจฉัยโรคจากแพทย์จึงจะสั่งจ่ายยาในหมวดนี้ได้อย่างเหมาะสม ดังนั้นประชาชนทั่วไปจึงไม่ควรซื้อยาหมวดนี้มารับประทานเอง ลงบนฉลากยาและพิมพ์ด้วยสีแดง ประโยชน์ยาหมวดนี้ใช้รักษาอาการโรคต่างๆมากมาย อาทิเช่น โรคของระบบทางเดินหายใจ โรคติดเชื้อโรคของระบบการขับถ่าย โรคทางเดินอาหาร โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคภูมิแพ้ โรคเบาหวาน และโรคอื่นๆอีกมากมาย นอกจากจะมีฤทธิ์ในการรักษาแล้ว มักมีผลอันไม่พึงประสงค์ หรืออาการข้างเคียงติดตามมาด้วย * ยาควบคุมพิเศษ เป็นยาที่ต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น ด้วยเหตุผลที่ว่าต้อง การรักษาโรคอย่างเจาะจง และระยะเวลาของการใช้ยาต้องเหมาะสม การใช้ยาผิดพลาดอาจส่งผลเสียต่อผู้ใช้อย่างร้ายแรงได้ * ยาเสพติดให้โทษ สำนักคณะกรรมการอาหารและยา แบ่งยาเสพติดออก เป็น 5 ประเภท คือ ตามความรุน แรงของการออกฤทธิ์ของยา และ ตามกฏหมายลงโทษ ด้วยการใช้ยากลุ่มนี้ทำให้เกิดการเสพติด จึงถือเป็นข้อจำกัดในการใช้ยา ยาเสพติดให้โทษไม่มีจำหน่ายในร้านขายยาทั่วไป สถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาตต้องสั่งซื้อจาก กองควบคุมวัตถุเสพติด สำนักคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข เท่านั้น การซื้อนั้นต้องมีเหตุผลและข้อมูลสถิติการใช้ยาแต่ละเดือนเป็นองค์ประกอบด้วย และจำกัดปริมาณการซื้อแต่ละครั้งและแพทย์เท่านั้นที่จะสามารถสั่งจ่ายยาเสพติดให้โทษโดยมีการควบคุมขนาด และระยะ เวลาในการใช้อย่างใกล้ชิด
5
* วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ตามความรุนแรงของยา และตามความจำเป็นในการต้องนำยานั้นมาใช้ทางการแพทย์ การสั่งซื้อยาต้องผ่านสำนักคณะกรรมการอาหารและยา กองควบคุวัตถุเสพติด เช่นเดียวกับยาเสพติดให้โทษ ยาลดน้ำหนักบางกลุ่ม ยานอนหลับ ยาคลายกังวลบางกลุ่มจัดอยู่ใวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทด้วย แพทย์เท่านั้นที่จะสามารถสั่งจ่ายนั้นได้โดยมีการควบคุมขนาดและระยะเวลาในใช้มัน เป็นสารที่ออกฤทธิ์กระตุ้นหรือกดประสาท แบ่งออกเป็น ประเภทที่ 4 ประเภท คณะกรรมการอาหารและยา ประเทศสหรัฐอเมริกายังแบ่งระดับความปลอดภัยของการใช้ยาในหญิงมีครรภ์ออกเป็น 5 หมวด หรือ Category ดังนี้ * Category A เป็นยาที่ศึกษาการใช้ในหญิงมีครรภ์ที่มีอายุครรภ์ช่วง 3 เดือน แรก พบว่าไม่มีความเสี่ยงหรือก่อให้เกิดความผิดปกติต่อทารกแต่อย่างใด และยังไม่มีหลักฐานแสดงถึงความเสี่ยงหรืออันตราย ที่เกิดกับทารกในช่วงเดือนถัดมา จึงถือว่าเป็นกลุ่มยาที่ค่อนข้างปลอดภัย สามารถใช้ในหญิงมีครรภ์ได้ * Category B เป็นยาที่มีการศึกษากับตัวอ่อนที่อยู่ในครรภ์ของสัตว์ทดลอง พบว่า ไม่ก่อให้เกิดความผิดปกติ หรือเกิดความเสี่ยงกับตัวอ่อนในครรภ์ของสัตว์ทดลอง แต่ไม่มีการศึกษาการใช้ยากับมนุษย์ และยังไม่มีการยืนยันรับรองความผิดปกติของทารกในครรภ์ในระยะ 3 เดือนแรก * Category C เป็นยากลุ่มที่มีการศึกษากับตัวอ่อนที่อยู่ในครรภ์ของสัตว์ ทดลอง พบว่า ก่อให้เกิดการผิดรูปร่าง และเป็นอันตรายกับตัวอ่อน และยังไม่มีการศึกษาหรือทดลองใช้กับหญิงมีครรภ์ จึงไม่สมควรใช้กับหญิงมีครรภ์ เว้นแต่ดุลยพินิจของแพทย์ว่า หากจำ เป็นต้องยาใช้กับหญิงที่มีครรภ์ และก่อให้เกิดประโยชน์มากกว่าโทษที่จะได้รับ * Category D เป็นยาที่พบหลักฐานว่าก่อให้เกิดอันตรายหรือความผิดปกติ ต่อทารกในครรภ์ ไม่สมควรใช้กับหญิงมีครรภ์เว้นแต่ว่าจำ เป็นต้องใช้ยาเพื่อรักษาชีวิตมารดาและไม่สามารถใช้ยาตัวอื่นที่มีความปลอดภัยกว่า มาทำการรักษาได้ * Category X เป็นยาที่มีการศึกษากับตัวอ่อนในครรภ์ของสัตว์ทดลองหรือศึกษาในหญิงมีครรภ์ พบว่าก่อให้เกิดความผิดปกติของตัวอ่อนและทารกในครรภ์ จัดเป็นกลุ่มยาที่ห้ามใช้กับหญิงมีครรภ์โดยเด็ดขาด

6
รูปแบบของยา
เทคโนโลยีในการผลิตยาแผนปัจจุบันนั้นจะพัฒนารูปแบบของยาให้เหมาะสมกับผู้บริโภค โดยทำให้มีทางเลือกในการใช้ยามากขึ้น รูปแบบจำหน่ายของยาแต่ละตำรับอาจจำแนกตามวัตถุประสงค์การใช้ยาได้ดังนี้ * ตามลักษณะการใช้ เช่น ยาที่ใช้รับประทาน ยาทาภายนอก ยาหยอดตา ยาหยอดจมูก ยาหยอดหู ยาฉีด (ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เข้าหลอดเลือด) ยาพ่นเพื่อสูดดม ยาสวนทวาร การมีช่องทางการใช้ได้มากย่อมเอื้อประโยชน์และมีประสิทธิผลในการรักษาได้รวดเร็วและทันเวลามากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น การรักษาการติดเชื้อในกระแสเลือดซึ่งเป็นกรณีเร่งด่วน การใช้ยาปฏิชีวนะแบบรับประทานอาจจะไม่ทันเวลา ต้องใช้ยาปฏิชีวนะชนิดฉีดเพื่อให้ยาเข้าสู่ร่างกายได้รวดเร็วและออกฤทธิ์ต่อต้านแบคทีเรียได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น * ตามน้ำหนัก อายุ โดยทั่วไปขนาดของยา 1 ชนิด มักถูกจ่ายโดยใช้เกณฑ์ ของน้ำหนักและอายุมาเป็นตัวพิจารณาในการคำนวณ ซึ่งจะระบุในเอกสารกำกับยา และฉลากยาเป็นสำคัญ ตัวอย่าง การใช้ยากับเด็กเล็กซึ่งยังไม่สามารถกลืนยาเม็ด ยาแคปซูลได้ดีเท่าผู้ใหญ่ ก็ต้องใช้เป็นลักษณะยาน้ำเชื่อม ยาน้ำแขวนตะกอน หรือยาผงละลายน้ำ เป็นต้น * ตามเพศ หรือตามสรีระของร่างกาย เช่นยาเหน็บฆ่าเชื้อราในอวัยวะเพศหญิง ถูกออกแบบมาให้ปลดปล่อยตัวยาในบริเวณจุดซ่อนเร้นโดยตรง หรือยาแก้หอบหืด ที่พ่นเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจโดยตรงย่อมออกฤทธิ์ได้เร็วกว่าชนิดรับประทานและสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ทันเวลา * ตามลักษณะการเจ็บป่วย ในขณะที่ผู้ป่วยนอนหลับหรือหมดสติ การให้ยาโดยการฉีดเข้าร่างกาย อาจจะเป็นวิธีที่เหมาะสมและสะดวกกว่าการกินยาทั้งนี้ขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา

ชื่อสามัญ/ชื่อการค้าของยา ชื่อสามัญของยา ก็คือ ชื่อทางวิทยาศาสตร์ที่มีที่มาจากตัวยาหลักของยาชนิดนั้นๆ ดังนั้นยาชนิดเดียวกันแต่ว่าผลิตจำหน่ายจากหลายๆบริษัทโดยมีชื่อทางการค้าต่างกัน จะมีชื่อสามัญตัวเดียวกันเสมอ และถือเป็นชื่อสากลโดยเป็นที่ยอมรับในหลายประเทศทั่วโลก
ส่วยชื่อทางการค้านั้น ถูกตั้งขึ้นด้วยเหตุผลทางธุรกิจและการค้า ยาที่มีชื่อสามัญเดียวกันมักจะถูกผลิตจากบริษัทยาหลายแห่ง ดังนั้นแต่ละบริษัทจึงต้องตั้งชื่อทางการค้าขึ้นมาเพื่อให้เห็นความแตกต่างในด้านรูปลักษณ์ ตลอดจนกระทั่งราคาซื้อขาย และง่ายต่อการจดจำ แต่สรรพคุณในการรักษานั้นจะเป็นอย่างเดียวกันกับยาที่มีชื่อยาสามัญชนิดเดียวกัน

7
การกินยาก่อนอาหารและหลังอาหาร
การกินยาให้ได้ประสิทธิผลในการรักษา ต้องอาศัยความเข้าใจในธรรมชาติของยาชนิดนั้นๆ ยากินหลายชนิดต้องกินก่อนอาหาร ½ - 1 ชั่วโมง ด้วยธรรมชาติของยานั้นอาจจะถูกรบกวนการดูดซึมหากมีอาหารอยู่ด้วย หรือยาบางกลุ่มจะถูกทำลายด้วยน้ำย่อยและกรดหากกินพร้อมอาหาร จึงต้องกินก่อนอาหาร ส่วนยาหลังอาหาร หรือยาที่ต้องกินพร้อมอาหาร ย่อมมีเหตุผลเช่นเดียวกัน ยาหลายกลุ่มหากกินในขณะที่ท้องว่าง อาจเกิดอาการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร-ลำไส้ ด้วยยาชนิดนั้นๆมีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งกรด และน้ำย่อยให้ออกมามาก จึงจำเป็นต้องกินพร้อมอาหาร ยังมีเหตุผลอื่นๆอีก อาทิเช่น ยาบางกลุ่มต้องละลายตัวเองกับไขมันในอาหารก่อน ถึงจะสามารถดูดซึมได้ จึงต้องกินพร้อมอาหารทันที หรือกินหลังอาหาร เช่น ยาจำพวกกลุ่มวิตามินต่างๆ เอ ดี อี เค เป็นต้น

ไม่ควรซื้อยากินเอง ยาหลายชนิดจัดเป็นยาอันตราย หากได้รับในปริมาณมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อร่างกาย หรือก่อให้เกิดพิษกับอวัยวะต่างๆ หากได้รับยาน้อยเกินไป หรือได้รับยาชนิดที่ไม่ตรงกับโรคก็ไม่สามารถรักษาโรคได้ กล่าวคือ อาการของโรคไม่ดีขึ้นแต่กลับลุกลาม การรักษายุ่งยากกว่าเดิม นอกจากนี้ การซื้อยากินเองอาจได้รับผลเสียและมีข้อจำกัดมากมายโดยมีหัวข้อที่ต้องใส่ใจดังนี้ * ผลข้างเคียงของการใช้ยา เป็นอาการของร่างกายที่ตอบสนองกับยาแต่ไม่ใช่ผลในการรักษา มักส่งผลให้ร่างกายเสียสมดุลและรู้สึกไม่ปกติ เช่น มีอาการคลื่นไส้-อาเจียน เวียนศีรษะ แสบกระเพาะอาหาร ท้องผูก ท้องเสีย หลังจากการใช้ยาเป็นต้น * คำเตือนและข้อควรระวัง จัดเป็นข้อควรระวังเป็นพิเศษที่เตือนก่อนการใช้ยา เช่น ระวังใช้ยากับผู้ป่วยที่เป็นโรคตับ-โรคไต การใช้ยากับผู้ที่มีแผลในกระเพาะอาหาร ขณะใช้ยานี้ต้องเฝ้าระวังการทำงานของตับ-ไต ระวังการเกิดภาวะหอบหืด ระวังการเกิดภาวะตกเลือด ฯลฯ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ได้ถูกระบุในเอกสารกำกับยา * ปฏิกิริยาระหว่างยา เป็นปฏิกิริยาระหว่างยา 2 ชนิด ขึ้นไปเมื่อใช้ร่วมกันอาจส่งผลดีหรือผลเสียต่อผู้ที่ได้รับยานั้นๆ จึงจัดเป็นข้อพึงระวังของการใช้ยา ที่จะต้องสอบประวัติการใช้ยาอย่างละเอียด และถือเป็นข้อมูลสำคัญในการลดความคลาดเคลื่อนของการรักษาในการใช้ยานั้นๆ * การดื้อยา เป็นสภาวะที่ร่างกายไม่ตอบสนองจากการใช้ยา หรือ หมายถึงการใช้ยาในครั้งถัดมาไม่ได้ผล อาจมีหลายสาเหตุ เช่น การกินยาปฏิชีวนะไม่ครบตามมาตรฐานการรักษา ทำให้เชื้อโรคสามารถต้านทานฤทธิ์ของยาปฏิชีวนะนั้น หรือ เชื้อดื้อยา * ข้อห้ามใช้ เป็นข้อจำกัดการใช้ยากับผู้ป่วยบางกลุ่ม เพราะว่าอาจจะส่งผลเสียกับร่างกายอย่างมากได้ ยกตัวอย่างข้อความที่เราจะพบเห็นได้บ่อย เช่น ห้ามใช้ยากับผู้ที่แพ้ยานี้ และห้ามใช้ยาในหญิงมีครรภ์ 8 ยาที่ซื้อเองได้ กลุ่มยาที่ประชาชนทั่วไปสามารถหาซื้อรับประทานเองได้ เป็นกลุ่มยาสามัญประจำบ้าน ที่เหมาะกับการรักษาโรคซึ่งมีอาการไม่รุนแรงมากนัก เช่น ท้องอืดท้องเฟ้อ ท้องเสียชนิดไม่รุนแรง ท้องผูก ฯลฯ โดยยาเหล่านี้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นชนิดยาสามัญประจำบ้าน และถือว่ามีความปลอดภัยสูง อย่างไรก็ตามการบริโภคยาสามัญประจำบ้านแบบผิดๆ ย่อมก่อให้เกิดผลเสียตามมาได้มาก ก็คือ กินผิดขนาด ผิดเวลาหรือ ผิดสรรพคุณ ย่อมไม่ส่งผลดีต่อการรักษาและอาจก่อให้เกิดโทษตามมาได้มาก ดังนั้นการซื้อยากินเองต้องศึกษารายละเอียดของยานั้นๆให้เข้าใจอย่างละเอียด ควรปรึกษาแพทย์ พยาบาล หรือ เภสัชกร เพื่อให้การกินยาเกิดประโยชน์สูงสุดต่อร่างกาย

การแพ้ยา การแพ้ยา เป็นการตอบสนองที่ผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเมื่อได้รับยาชนิดใดชนิดหนึ่ง ไม่ว่าจะได้รับยาด้วยวิธีต่างๆ เช่น การกิน การฉีด หรือการทา อาจจะเกิดอาการผิดปกติขึ้นได้ โดยระดับความรุนแรงของอาการ มีได้ตั้งแต่ในระดับน้อยๆ ไปจนถึงขั้นอันตรายถึงแก่ชีวิต กรณีแพ้ยาแบบน้อยๆ ไม่รุนแรงมากอาการจะหายไปเองภายใน 1–2 วัน แต่ถ้าอาการแพ้มาก หรือ รุนแรง ควรต้องส่งคนไข้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล การแพ้ยา แสดงออกได้หลายอาการ ที่พบบ่อยๆนั้น ได้แก่ * อาการทางผิวหนัง เช่น มีอาการผื่นคัน หรือ ลมพิษ อาจขึ้น ทั่วตัว เฉพาะตำแหน่ง เป็นปื้น หรือ เป็นจ้ำ เป็นการแพ้ยาที่รุนแรงปานกลาง อาจปรึกษาเภสัชกรร้านขายยา ซื้อยากินเอง หรือ ถ้าอาการมาก หรือ กังวลในอาการ ควรรีบพบแพทย์ * อาการทางระบบหายใจ เช่น ไอ เจ็บแน่นหน้าอก หายใจลำบาก และ/หรือ หอบหืด จัดเป็นอาการแพ้ที่รุนแรง * อาการทางสมอง เช่น มีไข้สูง จัดเป็นอาการแพ้ยาที่รุนแรง * อาการทางระบบภูมิคุ้มกันต้านทาน ซึ่งมักจะเป็นการแพ้ที่รุนแรง โดยยาจะไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันต้านทานของร่างกายให้ทำงานผิดปกติ อาการที่อาจเกิด ขึ้นได้ เช่น ผื่นคัน และขยายลุกลามเป็นจ้ำ ลมพิษ หลอดลมตีบจนทำให้หายใจลำบาก อาจมีลักษณะบวมบริเวณริมฝีปาก ลิ้น ลำคอ เป็นตะคริวที่ช่องท้อง ความดันโลหิตต่ำ หมดสติและเสียชีวิต ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

9
หลังการใช้ยาให้ปลอดภัย
การใช้ยา มีทั้งประโยชน์ และโทษ ดังนั้นเพื่อให้เกิดความปลอดภัยมากที่สุด เมื่อกินยา หรือใช้ยา ควรต้องสังเกตตนเองเสมอ พร้อมกับปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด หากมีอาการผิดปกติต่างๆ ควรหยุดกินยาแล้วรีบปรึกษาแพทย์ พยาบาล หรือ เภสัชกร นอกจากนั้น คือ ต้องจำให้ได้ว่าแพ้ยาอะไร และต้องแจ้ง แพทย์ พยาบาล เภสัชกรถึงการแพ้ยาเสมอ และต้องไม่กินยาหรือใช้ยาชนิดนั้นๆอีก

(เภสัชกร อภัย ราษฎรวิจิตร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์)

ยาที่ไม่ควรกินคู่กัน Good things come in pair ดังวลีฝรั่งนี้ที่บอกไว้ว่าของทุกอย่างมีคู่แฝดอยู่เสมอ อาจเป็นแฝดเหมือนหรือแฝดต่างก็ได้ ซึ่งก็พ้องกับทางพระที่ว่า กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา และโลกธรรมแปดที่เล่าถึงคู่แห่งสัจธรรมในโลกนี้ มีสุขแล้วก็มีทุกข์ มีสรรเสริญก็ย่อมมีนินทา มีลาภก็ย่อมมีเสื่อมลาภได้ดังนี้เป็นต้น ดังนั้นในเรื่องขอยารัษาโรคก็ย่อมต้องมีคู่แฝดของมันเหมือนกัน ที่ต้องมีทั้งแฝดที่ดีและแฝดที่ร้ายคล้ายเทวากับซาตานซึ่งเคยมีกรณีที่ถึงแก่ชีวิตมาแล้ว ซึ่งโดยมากมักเกิดจาก ความไม่รู้ ในฤทธิ์อันไพศาลของยาแต่ละเม็ดที่กินอยู่ โดยเราจะค่อยมาดูกันไปทีละแฝด
10
แฝดที่ดี เสมือนคู่บุญยิ่งรู้จักกินให้เสริมกันก็จะยิ่งช่วยเสริมสุขภาพหรือทำการรักษาโรคให้ท่านได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น และที่จริงก็ควรกินคู่กันเสียด้วยเพราะเรื่องของยาอาหารเสริมนี้มีหลักคือทำงานร่วมกัน โดยกลุ่มที่ควรกินร่วมกันช่วยเสริมให้ดีมีดังต่อไปนี้
1) วิตามินซีกับคอลลาเจน จะช่วยกันสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้ใสปิ๊งปั๊งไม่เหี่ยวหย่อนย้อย
2) ธาตุเหล็กกับวิตามินซี กินธาตุเหล็กให้ดูดซึมเข้าไปใช้ได้ ไม่ใช่กินเข้าไปอย่างไรถ่ายออกมาหน้าตาเหมือนเดิมนั้น ต้องกินคู่กันอย่างเช่นถ้าจะกินเลือดหมูให้ได้ธาตุเหล็กก็ควรจะกินกับผักที่มีวิตามินซีสูงด้วยเช่นพวกใบตำลึง
3) แคลเซียมกับแมกนีเซียม แคลเซียมจะดูดซึมได้ดีต้องมี “ตัวช่วย” พามันเข้าไปได้แก่แมกนีเซียม, วิตามินดีและวิตามินเคด้วยซึ่งอยู่ในแสงแดดและผักเขียวจัดตามลำดับ
4) วิตามินเอ,ซีและอี พยายามกินไปด้วยกันเป็นดี หรือสูตรที่ดีคือกินซีเพียงตัวเดียวส่วนเอกับอีนั้นกินเอาจากผักคะน้าและถั่วลิสงสักวันละกำมือ
5) น้ำมันปลา ขอให้เลือกชนิดที่มี ดีเอชเอคู่กันกับอีพีเอ ยิ่งมากหน่อยยิ่งดีอย่างน้อยกินให้ได้ค่า ดีเอชเอ+อีพีเอ = 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยมีเคล็ดไว้ว่าถ้าอยากบำรุงสมองต้องเลือกชนิดที่มีดีเอชเอเด่นแต่ถ้าจะให้บำรุงส่วนอื่นเป็นหลักเช่นข้ออักเสบให้เลือกชนิดที่มีอีพีเอสูงๆ
แฝดที่ร้าย
แฝดตัวนี้ถือเป็นระดับ ตัวแม่ ที่น่ากลัวกว่าเยอะมากครับ เพราะอาจทำให้เกิดเลือดออกในสมองจนเป็นอัมพาตหรือหัวใจวายแน่นิ่งไปได้ จึงอยากชวนให้ท่านที่รักมาสนใจในยาที่ไม่ควรกินร่วมกันสักนิดดังนี้
1) น้ำมันปลากับแอสไพริน คู่ร้ายอันดับแรกโดยน้ำมันปลานี้มีฤทธิ์ช่วยให้เลือดใสไม่หนืดเหนียว ส่วนแอสไพรินก็มีฤทธิ์เดียวกันคือช่วยให้ไม่เกิดลิ่มเลือดจับแข็งเป็นก้อนตัน เมื่อกินคู่กันเลยกลายเป็นคู่สังหารพาลให้เลือดไหลพรวดพราดไม่หยุด แม้การกรอฟันเพียงนิดก็อาจทำให้เลือดออกได้ราวกับผ่าตัดใหญ่แล้ว

11
2) วิตามินอีและอีฟนิ่งพริมโรส มีคนไข้ที่อยากผิวสวยมาหาพร้อมบอกว่ามีคนแนะให้กินวิตามินอีแต่บ้างก็ให้เลือกเป็นอีฟนิ่งพริมโรสแทนจะเลือกอย่างไรดี จึงได้บอกไปให้เลือกอย่างหนึ่งก็พอเพราะล้วนแต่มีวิตามินอีทั้งนั้นซึ่งถ้าได้มากไปอาจทำให้เกิดหัวใจพิบัติแทน
3) แคลเซียมเสริมกับแคลเซียมสด ถ้าท่านกินงาดำได้วันละ 4 ช้อนโต๊ะหรือเต้าหู้ขาวแข็งวันละ 3 ขีดก็จะได้แคลเซียมราว 1,000 มิลลิกรัมอยู่แล้ว ซึ่งถ้าไปหาแคลเซียมเม็ดมากินเติมอีกจะทำให้แคลเซียมเกินและไปจับกับหลอดเลือดทำให้ตีบแข็งได้
4) กาแฟกับแคลเซียม ขอให้เลี่ยงกินแคลเซียมร่วมกับกาแฟเพราะกาแฟจะไปยับยั้งการดูดซึมแคลเซียมนอกจากนั้นยังไปดึงแคลเซียมออกจากกระดูกอีกด้วย
5) ธาตุเหล็กกับเลือดจางธาลัสซีเมีย เป็นไม้เบื่อไม้เมากันทีเดียว ขอให้ลืมความเชื่อที่ว่าถ้าเลือดจางต้องกินธาตุเหล็ก ไม่เสมอไปครับ หากท่านเป็นเลือดจางชนิดธาลัสซีเมียแล้วไปกินธาตุเหล็กเสริมจะเท่ากับเติมยาพิษให้กับหัวใจและตับ

12
อาหารเสริม
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือว่า อาหารเสริม จัดเป็นอาหารประเภทหนึ่งตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ.2522 ซึ่งหมายถึงผลิตภัณฑ์ที่ใช้รับประทานโดยตรงนอกเหนือจากการรับประทานอาหารหลักตามปกติเพื่อเสริมสารบางอย่าง มักอยู่ในรูปลักษณะเป็นเม็ด แคปซูล ผง เกล็ด ของเหลว หรือลักษณะอื่น และมีจุดมุ่งหมายสำหรับบุคคลทั่วไปที่มีสุขภาพปกติ มิใช่สำหรับผู้ป่วย และไม่ควรให้เด็กและสตรีมีครรภ์รับประทาน ตัวอย่างของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อาทิ น้ำมันปลา สาหร่ายสไปรูลิน่า กระดูกอ่อนปลาฉลาม น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส กลูโคแมนแนน ไคโตซาน เส้นใยอาหาร คอลลาเจนอัดเม็ด ชาเขียวชนิดสกัดบรรจุแคปซูล โค เอ็นไซม์คิวเท็น แคปซูล ฯลฯ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ คือ ผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และผลิตภัณฑ์ที่มีวัตถุประสงค์การใช้เพื่อสุขภาพอนามัย รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบวิชาชีพ ด้านการแพทย์ และสาธารณสุข ตลอดจนผลิตภัณฑ์ที่อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพอนามัย ผลิตภัณฑ์สุขภาพประกอบด้วยผลิตภัณฑ์อาหาร ยา เครื่องสำอาง วัตถุอันตรายที่ใช้ในบ้านเรือน เครื่องมือแพทย์ และวัตถุเสพติด
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งประเทศไทยได้กำหนดคำจำกัดความของผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ดังนี้ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ จัดเป็นอาหารที่มีคุณประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งต่อสุขภาพ นอกเหนือจากคุณสมบัติและประโยชน์ของอาหารทั่วๆ ไป. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพ เป็นอาหารที่กินเพื่อเสริมอาหารที่มีอยู่แล้ว เพื่อเสริมสร้างกลไกการทำงานของร่างกายและช่วยให้มีสุขภาพแข็งแรงมากขึ้น เช่น วิตามิน เกลือแร่ สมุนไพร เป็นต้น. รูปแบบของผลิตภัณฑ์จะมีลักษณะเป็นแคปซูล เม็ด หรือผง โภชนเภสัชภัณฑ์ จัดเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากสารธรรมชาติ ซึ่งมีคุณสมบัติป้องกัน หรือรักษาโรคที่มาจากคุณประโยชน์ของสารอาหารและยา ซึ่งผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของแคปซูล เม็ด หรือผง
เนื่องจากผลิตภัณฑ์อาหารเสริมไม่จัดอยู่ใน กลุ่มยาที่ใช้สำหรับบำบัดรักษาโรค จึงไม่จำเป็นต้องผ่านการตรวจสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยก่อนออกจำหน่าย รวมถึงฉลากเตือนถึงผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นหลังกินผลิตภัณฑ์ รวมทั้งในด้านอุตสาหกรรมการผลิตอาจไม่ได้ตามมาตรฐาน ซึ่งตามมาตรฐาน ต้องรายงานค่าความบริสุทธิ์และค่าความปนเปื้อนที่มักมีโอกาสเกิดขึ้นสูง เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้มาจากธรรมชาติ อาจมีความแตกต่างกันจากแหล่งที่เพาะปลูกทำให้ปริมาณความเข้มข้นของสารที่มีในผลิตภัณฑ์มีความแตกต่างกันรวมถึงความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนยาฆ่าแมลงหรือโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว อาซีนิก หรือปรอท7 ตัวอย่างการทดสอบผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีโสมเป็นส่วนประกอบที่จำหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกา 22 ชนิดพบว่า 8 ชนิดมีการปนเปื้อนยาฆ่าแมลงชนิด quintozene และ hexachlorobenzene ที่เชื่อว่าเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ และ 2 ชนิดพบมีปริมาณสารตะกั่วมากกว่ามาตรฐาน8 และผลการรายงานจาก California Department of Health Services ได้ตรวจสอบผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ที่นำเข้าจากประเทศแถบเอเชียพบว่าอย่างน้อย 83 ตัวอย่างจากผลิตภัณฑ์ 260 ชนิดที่มีการปนเปื้อนของโลหะหนักและ 23 ชนิดที่มีส่วนผสมที่ไม่ได้ตามมาตรฐาน
13
ข้อควรทราบเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
1. โดยทั่วไปแล้วแม้พบว่ารูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจะใกล้เคียงกับ ผลิตภัณฑ์ยา แต่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ยา ดังนั้นจึงไม่สามารถรักษา หรือว่าบรรเทาโรคใดๆได้ ตลอดจนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานภายในร่างกาย หรือ ช่วยเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของร่างกายได้
2. ขั้นตอนในการขออนุญาตผลิตหรือนำเข้าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อจำหน่ายแตกต่างจากการขอขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์ยา ซึ่งต้องมีกระบวนการพิจารณาเรื่องประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์จนเป็นที่ประจักษ์แน่ชัดก่อนว่าสามารถรักษา หรือ บำบัด บรรเทาโรคได้จริง ถึงจะอนุญาตให้จำหน่ายเป็นผลิตภัณฑ์ยาได้ ดังนั้นจึงห้ามมิให้โฆษณาเผยแพร่ในเชิงก่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสามารถรักษาหรือบรรเทาโรคใด ๆ เพราะการโฆษณาเช่นนั้นเป็นการกล่าวอ้างสรรพคุณทางยา
3. ต้องไม่โฆษณาโดยทำให้เข้าใจว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนั้นเพียงอย่างเดียวจะทำให้สุขภาพร่างกายดีขึ้นได้ แต่ต้องให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าจะต้องบริโภคอาหารหลักให้ครบส่วน รวมทั้งการออกกำลังกายและการพักผ่อนที่เหมาะสมด้วย
4. ไม่อนุญาตให้มีการกล่าวอ้างหรือรับรองคุณภาพคุณประโยชน์โดยบุคคล องค์กร หรือหน่วยงานใด ๆ
5. การโฆษณาโดยการแจกแจงคุณประโยชน์ของสารอาหารแต่ละชนิดที่เป็น ส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนั้น สามารถกระทำได้ก็ต่อเมื่อพิสูจน์ได้ว่ามีคุณประโยชน์ตามที่กล่าวอ้างจริง
6. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใดมีการแสดงข้อความกล่าวอ้างทางโภชนาการ หรือกระทำการโฆษณาโดยกล่าวอ้างคุณค่าทางโภชนาการเพื่อส่งเสริมการขาย ต้องแสดงข้อมูลโภชนาการบนฉลากเพื่อให้ผู้บริโภคทราบด้วย
7. ต้องไม่สื่อความหมายให้เข้าใจว่าเป็นอาหารสำหรับควบคุมน้ำหนักหรือสามารถใช้ลดน้ำหนักได้
8. การที่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้รับอนุญาตให้จำหน่ายจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้ว แสดงว่าสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยารับรองเฉพาะสรรพคุณตามที่ขออนุญาต ซึ่งกำหนดให้ระบุบนฉลาก ผู้บริโภคจึงควรศึกษารายละเอียด บนฉลากผลิตภัณฑ์ก่อนทุกครั้ง ไม่ควรเชื่อจากการกล่าวอ้างของผู้ขาย
9. การพบเอกสารวิชาการ บทความ หรือคอลัมน์สุขภาพ เอ่ยถึงสารเคมีหรือวัตถุดิบที่สกัดจากธรรมชาติที่มีการกล่าวถึงการช่วยรักษาโรค หรือ ช่วยเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานภายในร่างกาย ตลอดจนช่วยเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของร่างกาย เช่น กล่าวว่าช่วยรักษาโรคมะเร็ง เบาหวาน ช่วยลดน้ำหนัก ลดไขมันส่วนเกิน หรือ ลดริ้วรอยปัญหาจุดด่าง
14
ดำฝ้ากระบนใบหน้า ฯลฯ อาจทำให้ผู้ บริโภคหรือผู้จำหน่ายเชื่อมโยงข้อมูลด้วยตนเองจนก่อให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน หรือความเชื่อที่ว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีสาร นั้นสามารถรักษา บรรเทาโรค หรือเปลี่ยนแปลงร่างกายตนเองได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจไม่ถูกต้อง เนื่องจากปริมาณสารที่ออกฤทธิ์ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนั้นยังมีปริมาณไม่ถึงขนาดที่ใช้ในการป้องกัน บำบัด รักษาโรค หรือเปลี่ยนแปลงระบบการทำงาน ตลอดจนโครงสร้างร่างกายได้

การผลิต/จำหน่าย/โฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
1. ผู้ประสงค์ผลิตหรือนำเข้าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อจำหน่ายตาม ร้านค้า หรือจำหน่ายในลักษณะการขายตรง นั้น ต้องมาขออนุญาตต่อสำนักงานคณะ-กรรมการอาหารและยา เสียก่อน เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์มีความปลอดภัยต่อการบริโภค ตลอดจนมีการแสดงฉลากที่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริงจึงจะอนุญาตให้จำหน่ายได้
2. การโฆษณา สรรพคุณ คุณประโยชน์ คุณภาพของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อประโยชน์ทางการค้า ผ่านทางโทรทัศน์ วิทยุ วารสาร แผ่นพับ หรือด้วยวิธีขายตรง ผ่านสื่อเผยแพร่ต่าง ๆ อาทิเช่น คู่มือสินค้า เอกสารประกอบการขาย อินเตอร์เน็ต ฯลฯ แม้แต่การขายตรงโดยใช้บุคคลพูดปากต่อปาก ถ้าเผยแพร่เฉพาะท้องถิ่นหรือจังหวัด สามารถยื่นขออนุญาต ได้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนั้น ๆ แต่หากเผยแพร่ทั่วประเทศจำเป็นต้องขออนุญาตต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาอีกครั้งหนึ่งก่อนจึงจะเผยแพร่ได้
ฉลากผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
เนื่องจากข้อมูลที่ระบุให้แสดงบนฉลากล้วนเป็นข้อมูลซึ่งผ่านการพิจารณาแล้วว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค ดังนั้น ก่อนตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร นอกจากต้อง ตรวจสอบข้อมูลโฆษณาให้แน่ชัดแล้ว ผู้บริโภคควรต้องตรวจสอบข้อความบนฉลากให้มีการแสดงสาระสำคัญครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดด้วย โดยฉลากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนั้น ต้องแสดงข้อความภาษาไทย ได้แก่ ชื่ออาหาร เลขสารบนอาหารในเครื่องหมาย อย. ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต / ผู้แบ่งบรรจุ หรือผู้นำเข้า (ในผลิตภัณฑ์นำเข้าต้องระบุประเทศผู้ผลิตด้วย) ปริมาณสุทธิ ส่วนประกอบสำคัญ วันเดือนปีที่ผลิต และ วันเดือนปีที่หมดอายุ โดยมีคำว่า ”ผลิต “ และ ”หมดอายุ” หรือ “ควรบริโภคก่อน” กำกับไว้ด้วย คำแนะนำในการเก็บรักษา ในกรณีที่มีการเจือสี แต่งกลิ่นรส ใช้วัตถุกันเสีย วัตถุปรุงแต่งรสอาหาร หรือ วัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาล ต้องระบุบนฉลากด้วย 15
ยากับอาหารเสริม ต่างกันอย่างไร ? ก่อนอื่น ก็ต้องแยกก่อนว่า เป็น " ยา " หรือ " อาหารเสริม " ทั้งสองอย่าง ก็ต้องขึ้นทะเบียนกับ อย. แต่ข้อแตกต่างกันง่าย ๆ ก็คือ "ยา" ต้องพิสูจน์ว่า ยาตัวนั้น ปลอดภัย และ ใช้แล้วได้ผลในคน ( ต้องผ่านการวิจัย เป็นขั้นตอน ซึ่งอาจใช้เวลาหลายปี ) " อาหารเสริม " ไม่ต้องผ่านการวิจัย เพียงแต่มีข้อมูลว่า สารนั้นน่าจะปลอดภัย ส่วนว่าจะได้ผลหรือไม่นั้น ไม่ต้องบอก ไม่ต้องพิสูจน์
จึงมีข้อกำหนดเลยว่า " ห้ามระบุว่า เป็นการรักษา หรือ ทำให้ อาการหาย " ส่วนใหญ่ก็จะเลี่ยงไปใช้คำว่า "ช่วยให้" "เสริม" ฯลฯ
ดังนั้น การที่มีโฆษณา หรือ เขียนไว้ในเอกสาร ว่า ผ่าน อย. หรือ ได้รับการรับรองจาก อย. จึงไม่สามารถบอกว่า ผลิตภัณฑ์นั้นจะดีตามที่โฆษณาหรือว่าที่มีในเอกสารนั้น

16
สรุปความคิดเห็นเกี่ยวกับยาและผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
จากการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับยาและผลิตภัณฑ์อาเสริมจำนวน 30 คนซึ่งเป็นบุคคลทั่วไปผลสำรวจมีดังต่อไปนี้ ข้อ | รายการ | ใช่ | ไม่ใช่ | | | คน | ร้อยละ | คน | ร้อยละ | 1 | ปัจจุบันคุณรับประทานอาหารเสริมอยู่ | 10 | 33 | 20 | 67 | 2 | ปัจจุบันคุณรับประทานยารักษาโรคมากกว่าอาหารเสริม | 14 | 47 | 16 | 53 | 3 | คุณทราบว่ายารักษาโรคใช้เพื่อรักษา ส่วนอาหารเสริมใช้เพื่อป้องกัน | 21 | 70 | 9 | 30 | 4 | ในความคิดของคุณ คุณคิดว่าอาหารเสริมมีผลข้างเคียงมากว่ายารักษาโรค | 17 | 57 | 13 | 43 | 5 | คุณเลือกที่จะบริโภคยาจากโรงพยาบาล | 22 | 73 | 8 | 27 | 6 | คุณเลือกที่จะบริโภคยาจากตลาดนัด | 2 | 67 | 28 | 93 | 7 | คุณเลือกรับข้อมูลจากเภสัชกรในการเลือกผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและยารักษาโรค | 24 | 80 | 6 | 20 | 8 | คุณคิดว่าอาหารเสริมจำเป็นต่อชีวิต | 9 | 30 | 21 | 70 | 9 | คุณใช้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อผิวพรรณ | 14 | 47 | 16 | 53 | 10 | คุณใช้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อบำรุงสมอง | 18 | 60 | 12 | 40 |

สรุป จากการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับยาและผลิตภัณฑ์อาเสริมจำนวน 30 คนซึ่งเป็นบุคคลทั่วไป คนส่วยใหญ่รู้ว่าอาหารเสริมกับยาแต่งต่างกันอย่างไรรู้ว่าควรที่จะเลือกรับประทานยาและอาหารเสริมจากที่ไหนคนส่วนใหญ่ไม่รับประทานอาหารเสริมและคิดว่าอาหารเสริมไม่จำเป็นต่อชีวิต
17
สรุป การใช้ยาและอาหารเสริมให้ถูกวิธีไม่ใช่เรื่องที่ยาก แต่ก็ไม่สามารถมองข้ามได้เช่นกัน เราควรจะใช้ยาให้ถูกวิธี เนื่องจากมีหลายวิธีที่จะนำยาเข้าสู่ร่างกาย และแต่ละวิธีก็จะให้ผลที่แตกต่างกันไป ซึ่งควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพราะการใช้ยาที่ผิดวิธีนอกจากจะไม่รักษาโรคได้อย่างเต็มที่แล้ว บางครั้งอาจกลับทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้ป่วยมากขึ้นด้วย และควรใช้ยาให้ถูกกับโรค ในขนาดที่พอดี ถูกต้องตามเวลาที่แพทย์ได้กำหนดไว้ ส่วนในเรื่องของการแพ้ยานั้น สามารถป้องกันโดยง่ายที่สุดคือ ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง ควรให้แพทย์เป็นผู้เตรียมยาให้เท่านั้น นอกจากในส่วนที่ได้กล่าวมาแล้ว อย่างสุดท้ายคือควรที่จะเก็บรักษายาไว้ให้ดี ตามฉลากหรือคำแนะนำของแพทย์ และในส่วนของอาหารเสริมโดยทั่วไปแม้พบว่ารูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจะใกล้เคียงกับ ผลิตภัณฑ์ยา แต่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ยา ดังนั้นจึงไม่สามารถรักษา หรือบรรเทาโรคใดๆ ตลอดจนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานภายในร่างกาย หรือ ช่วยเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของร่างกายได้ รายงานเล่มนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องของการใช้ยา และให้ทุกคนได้เข้าใจว่าควรใช้ยาในกรณีใดบ้าง หรือควรใช้อาหารเสริมเมื่อใด เพื่อสุขภาพที่ดีในตัวของทุกคน โดยได้จัดรายงานเล่มนี้ขึ้นเพื่อเป็นการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่อง หลักการใช้ยาแบบถูกต้อง แก่ผู้คนทุกช่วงอายุวัยไม่ว่าจะเป็นเด็ก เยาวชน หรือผู้ใหญ่ ให้มีความรู้ความเข้าใจในหลักการใช้ยาและ ตระหนักเห็นความสำคัญที่จะเลือกใช้ยาให้ถูกประเภทกับโรคที่ตนเองกำลังเป็น เพื่อที่จะให้เกิดอันตรายน้อยที่สุดเมื่อรับประทานยาในแต่ละประเภท ในส่วนของการกระจายความรู้ในด้านของยาและอาหารเสริมต้องมีการดำเนินงานโดยเริ่มจากกลุ่มเล็กๆก่อนเพื่อให้กระจายความรู้ได้อย่างทั่วถึง อาจมีการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนมีดำเนินงานในส่วนของแต่ละพื้นที่ บุคลากรที่ดำเนินงานต้องทุ่มเทความรู้ ความสามารถและเสียสละเวลา ในการกระจายความรู้ ขอขอบพระคุณ นางรัชนี ตันติพันธุ์วตี, นางวรวีร์ พูลสวัสดิ์ อาจารย์ที่ปรึกษาโรงเรียน นวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา ๒, คณะกรรมการนักเรียนโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา ๒ และเภสัชกรในทุกพื้นที่และผู้ที่มีส่วนร่วมในการดำเนินงานทุกท่าน 18
อ้างอิง
กฤษดา ศิรามพุช. 2556. ยาที่ไม่ควรกินคู่กัน. (ออนไลน์). แหล่งที่มา: http://www.nutritionthailand.or.th/scripts/newscat_detail.asp?nNEWSID=2739. 5 มกราคม 2557
นฤมล โกมลเสวิน. 2546. ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม. (ออนไลน์). แหล่งที่มา: http://webnotes.fda.moph.go.th/consumer/csmb/csmb2546.nsf/723dc9fee41b850847256e5c00332fb4/f5c1b62bb1f1a177c7256d180006a6d6?OpenDocument . 5 มกราคม 2557 พนมกร ดิษฐสุวรรณ์. 2551. ยา กับ อาหารเสริม (ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร) ต่างกันอย่างไร ???. (ออนไลน์). แหล่งที่มา: http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=10-08-2008&group=7&gblog=5. 5 มกราคม 2557

Similar Documents

Premium Essay

My Mind

...1) Determine whether Mg, SI, Si and Cl are in the same group or period. Give reason for your answer. 2) Say, with a reason which group F, Cl, Br, I and At belong to. 3) Explain with the aid of an equation what happens when chlorine gas is bubbled through aqueous potassium bromide solution. 4) State one reason why barium reacts faster than calcium with water. 5) Predict physical and chemical properties of unknown element, given R.A.M., melting point and number of valence electrons. 6) Classify strontium and astatine as metal or non-metal. Predict reactivity of strontium relative to calcium; include equation. 7) Compare reactivities of Ca and Sr with dilute HCl; write equation for Ca reaction with HCl. Predict with reason physical state of At at room temperature. 8) Predict what would happen if chlorine were bubbled into a solution of astatine salt. Give reason for prediction. 9) Write balanced equation for reaction when aqueous chlorine is bubbled into aqueous potassium oxide. 10) Predict with reason reactivity of hypothetical metal below barium in the periodic table. Give reason for your answer. 11) Deduce bonding between strontium and chlorine based on its position relative to other group 2 elements. 12) Write a formula for strontium chloride. 13) Name the property of compounds upon which fractional distillation is based. 14) Plan and design experiment to obtain solid sea salt from a mixture of seawater and sand. List main observations as separation proceeds. ...

Words: 386 - Pages: 2

Premium Essay

Blues on My Mind

...Blues On My Mind In this song by Blue Mitchell, Blues On My mind, Blue Mitchell really emphasizes the blues in his solo. The chords in the song are played a little differently than the regular. There is a lot of added notes such as the ninth in chords as well as added fifths. The drummer is playing a shuffle type feel throughout the whole song. The snare hits on two and four along with the cymbal. In the solo, Blue Mitchell uses the basic blues except he adds a couple of bebop lines especially in the measures with the a minor seven and the d dominant seven. Blue Mitchell also likes using double time in the song. He uses a lot of space and repetition in his songs as well as a lot of linear lines. In the space that he uses, the piano comps different rhythms to fill in the extra space that he leaves. Blue Mitchell’s tone on this piece is very sharp as in precise. All the lines that he plays are very clear. The bass player in the song is keeping a constant quarter note so there aren't any changes in the rhythm. Overall, this solo has a lot of vocabulary I can learn in a bebop aspect as well as blues aspect. Everyone is so together on this album like I can feel two and four. Two and four really stick out on this song. I also realized that Blue Mitchell uses a lot of triplets in his solo. The bass player, piano player and drums are locked...

Words: 266 - Pages: 2

Premium Essay

Empathy In 'Out Of My Mind'

...graders should read Out Of My Mind because it teaches them several lessons about to feel empathy for others,to be kind and be grateful for what you have. I believe that 7th grader should read Out Of My Mind because it demonstrates several examples of empathy for others. Empathy is very important,especially for middle schoolers.Feeling empathy is when someone puts there self in your position. For example teachers and parents always put their self in your position , like if you are having a problem in a subject. Empathy is mostly happens in Out Of My Mind when melody's mom defends her against Mr.Dimming.What happens is that The Wiz Kids were suppose to have a flight and melody wasn't there.The Wiz Kids left earlier on purpose to leave melody . Mr.Dimmings insults melody and says that Melody was the smartest kid on the team.He said the key word was “was”. Melody's mom yells at him and hangs up. Melody's mom put herself in melody's position. When I read Out Of My Mind I saw many examples of empathy towards melody. Another reason where this book shows empathy is when melody puts herself in her moms and dads position. Mom accidently runs over penny.It is some what both of the...

Words: 787 - Pages: 4

Premium Essay

Personal Narrative: My Open-Mind

...Outgoing. Open-minded. These words may just sound like two random words that relate to success, but these words describe my personality as a whole. They have allowed me to take chances and take on every experience that has become available to me with confidence, both in school and throughout my community. Ever since I entered middle school, I have always been involved in several different clubs and activities. When I entered fifth grade, I joined band for the first time, and learned to love it despite all the challenges that came with it. This positive experience that I gained from trying something new led me to participate in even more activities. Once I began seventh grade, the ability to join a variety of different clubs became easier. That year, I started to explore my love for science when I...

Words: 558 - Pages: 3

Premium Essay

My Open Mind Diagram Symbolize Oedipus '

...The images portrayed in my Open Mind Diagram symbolize Oedipus’ overwhelming feelings when he encounters the blind prophet of Thebes, Tiresias. Tiresias tells Oedipus, “...you are the murderer you are searching for” (Sophocles 22). In their dialogue, the two battle with their words, throwing slanders at each other. This interaction discloses information about Oedipus’ character, showing that he is prideful, quick to anger, and blind to the truth even though it is what he seeks to find. In my Open Mind Diagram, I have an image of a character plugging his ears and an image of a monkey covering his eyes. These two images represent how Oedipus is blind to the evil in which he stands, and how Oedipus negatively responds to criticism by “plugging...

Words: 276 - Pages: 2

Free Essay

Love Letter

...sleeping the whole day and I got so many thoughts playing on my mind so I choose to rise get the laptop and type. 1. Second to my final destination ( … Well this is not a horror film; this destination I’m talking about is the force or factor that makes me go and face every life’s circumstances I am facing. My ultimate dream is to become a flight attendant, cabin crew, flight crew or whatever they call this. Yes, I’ve been dreaming to become one someday and I am trying to give my very best for this not to become an unclear vision. I want this to manifest, I want this to happen in my life in every good ways or means I can. As I’ve said on my recent posts, I love to go somewhere, I love to experience different culture, and I want to meet new and different people. There are some times in my life when I face mirror, stand classically and gracefully and try to imitate flight attendants posture and speaking. I used to act like there are passengers and I am orienting them with safety procedures inside the plane. To train to become a flight attendant costs so much, that’s why my parents wasn’t able to send me to those schools practicing this course. But I’ve got this what they called life’s principle. I believe with all my heart that nothing is definitely impossible that my future has been planned and decided. I just love the thought that God is faithful, with His words, His promises and plans. I trust Him with this. This is my heart’s very secret petition to heaven and to Jesus. His...

Words: 1464 - Pages: 6

Free Essay

My Life to Save

...Prologue I leaned over the toilet for the fourth time this morning spilling whatever was left in my stomach. I dry heaved for the next five minutes trying to rid whatever was giving me this ill feeling. Once I finished I wiped the sweat off my forehead and laid back against my cold tub. It felt good against my warm skin. I removed my sweat drenched shirt and just laid against the tile floor. I have never experience such pain and nausea in my life. I didn’t want to think about the many possibilities that could be wrong with me. "Ki you alright?" asked my eight year old brother behind my bathroom door. "Yes boo just go get me a bottle of water." I could hear him scurrying off down the stairs to the kitchen. I tried my best to stand up but I just felt too weak. All of a sudden my body grew very tired and I couldn’t get my body to move. I heard my door open and a scream. "Mom, Dad hurry!" yelled my brother Jasone. I didn’t understand why he was screaming until I followed his horrified eyes down to my floor and there was blood everywhere. I slowly reached up to touch my nose and I felt the blood all over my hands and I knew something was definitely wrong. My brother rushed over to me and held my head in his lap as he cried. I tried to reach up and touch him but it all hurt too much. "Lord please I’m not ready to die." I said to myself. "Mom!!" my brother cried out again. "Jasone what is you doing in your sister room and screaming on-" she couldn’t continue her sentence as she...

Words: 1763 - Pages: 8

Free Essay

Gdfhjgh

...instructed otherwise.) Not only is a topic sentence the first sentence of a paragraph, but, more importantly, it is the most general sentence in a paragraph. What does "most general" mean? It means that there are not many details in the sentence, but that the sentence introduces an overall idea that you want to discuss later in the paragraph. For example, suppose that you want to write a paragraph about the natural landmarks of your hometown. The first part of your paragraph might look like this: My hometown is famous for several amazing natural features. First, it is noted for the Wheaton River, which is very wide and beautiful. Also, on the other side of the town is Wheaton Hill, which is unusual because it is very steep. (Notice how the first sentence begins with "My hometown..." a few spaces to the right of the paragraph edge. This is an indentation. All paragraphs in English MUST begin with an indentation.) Note how the first sentence, My hometown, Wheaton, is famous for several amazing geographical features,is the most general statement. This sentence is...

Words: 1777 - Pages: 8

Free Essay

Lovelove

... C# Ab Eb Fm Got my head spinning, no kidding, I cant pin you down C# Ab Whats going on in that beautiful mind Eb Fm Im on your magical mystery ride C# Ab Eb Bbm And Im so dizzy, dont know what hit me, but Ill be alright [Bridge] (Bbm, Fm, Eb) Bbm Fm My heads under water Eb Bbm But Im breathing fine Fm Eb Youre crazy and Im out of my mind [ Tab from: http://www.guitaretab.com/j/john-legend/372723.html ] [Chorus] (Ab, Fm, Bbm, Eb) Ab Cause all of me Fm Loves all of you Bbm Love your curves and all your edges Eb All your perfect imperfections Ab Give your all to me Fm Ill give my all to you Bbm Youre my end and my beginning Eb Even when I lose Im winning ...

Words: 315 - Pages: 2

Free Essay

Pdf File

...Lifesourcing – Blog (www.shomprakash.com) This is Friday Shomprakash Sinha Roy About the author : Shomprakash Sinha Roy is a Senior Technical Consultant and Social Media Professional for Dell International Services. He moonlights as a blogger on a few websites. Notable among them, are his contributions at The Youth Express, and Lifesourcing (www.shomprakash.com). For Roy, writing has been a necessity driven by experiences; more than anything else. Having struggled for survival for three straight years, he finally has a job that pays so that he can keep writing and stay alive at the same time. He dreams of the times of Hemingway and Bill Shakespeare, and idolizes Gabriel Garcia Marquez, Arundhati Roy and Rabindranath Tagore. The story “This is Friday” was presented via the blog Lifesourcing, and was accepted as a truly contemporary work of romance by thousands of readers. It was also promoted via different social media channels and as made its way to readers across India, the Middle East and the United States of America. It’s about one night that begins as a drunken journey across the protagonist’s favourite shopping mall to his favourite lounge in town. It explores a rhythmic side to the city of Bangalore, where the protagonist dwells upon his desires and deep-rooted values of friendship and “trust”. It also turned out to be the author’s first successful attempt to use the present continuous narrative form. His debut novel “The Pink Smoke” is being published by Grapevine...

Words: 9834 - Pages: 40

Premium Essay

Second Chance

...Conflict: A man with a conflicting mind contemplates and reflects on the past few years in his life that led him to the edge of the cliff, on his back, covered in blood, overwhelmed with regret, fear, and pain. There’s two ways off the ledge, either way, someone dies. Setting: This story takes place in both Chicago, Illinois in the winter of 2014, and in Anchorage, the largest city in Alaska in the summer of 2019. Point of View: The 1st person point of view of Babs. When death is lurking in your veins, your life presents itself to you through your dimming, and regretful eyes, in the way you lived. In life, every couple years or so, you reflect on yourself, seeing what and who you are versus what and who you wanted to be. I’ve never been where I should or wanted to be. I’ve made some mistakes, just like every other human being. What I’ve done in my short twenty four years of life on gods beautiful green earth has led me here. Lying on the edge of this cliff, with my neck and torso over this mountain top, blood slowly flowing up my shoulder and down my neck like a stream of interconnecting rivers; one river ending at my mouth forcing me to swallow my own blood, the others getting in my eyes and going throw my gaping nostrils gasping for air, making breathing and seeing that much harder at this altitude. I have my own custom made six inch hunting knife dug into my right peck, with a human hand stuck between my chest and the knife. My family is dead; my friends are gone; everyone I...

Words: 3233 - Pages: 13

Free Essay

Youth

...body changes. Many thoughts go into my mind. Many problems accurse; problems I did not have to deal with when I was 13 years old. Problems with my boyfriend and at home; that is a new task for me. It is hard to focus when these problems are in my head. To pretend to be happy at all times is difficult in the age of 13-17. All kinds of problems pop into my head and I have no idea how to handle them. For me the exams are just around the corner and it is not exactly easy to cope with the pressure when I don’t feel ready. Perhaps I grew up to fast; I did not focus on my schooling – it was much more fun to smoke and drink with my friends weekend after weekend. I am paying for it now. I really want to make an effort when it comes to my schooling. My parents are divorced and it is not easy to be a child and listen to what they have to say to each other. My parents’ divorce was stressful to me and I never wanted them to separate. My mother moves to Dubai for five years – I will see my mother ten times during ten years. I wish I could see her more. Love is difficult. It has been a struggle for me to find a boyfriend but I have been very lucky to meet a young man who loves me. He treats me like a princess and I feel happy and safe with him. I have made a lot of mistakes the last two years and if I could, I would take it all back. Regrettably, I cannot erase my past. I have to live with my past which is painful. I have felt the consequences of my actions and I am ashamed to admit...

Words: 482 - Pages: 2

Free Essay

Sand

...that I am here, I chose to live this way. My name is Gabriel, I am twenty-eight years old. The Wahiba Sands became my home five weeks ago.... I used to be wealthy, with a family, I even owned the largest law firm in the united states. I used to be happy, and filled to the breaking points with love, and life. Until my company that I spent every penny, and every ounce of me on, fell under. My deep black hair began to turn a grey color. We started losing cases, and with a rising rate of failure came the rising debt. The company was going to crash, and I knew. A few months later, the bank came around to take the firm out of my hands. I made a horrible decision, I went to the bank that all of the pension money was stored. I emptied all of the accounts, and carried the money out of the bank in bags. As I was leaving I called my wife, and told her and my son Adrian to pack their things and get ready to leave the country, and that I would explain when I got home. I pull into the driveway, and see my wife standing outside the house. Frantically I told her what just happened. “Gabriel what on earth are you trying to do?!” she exclaimed. “Please just get in the car, I don’t have time. I need to leave, if you wait any longer I’ll have to leave without you and Adrian.” I proposed. She stood, unmoved, and with an unchanged mind. I knew what that meant. I walked into the house that I would no longer call mine, and followed the wide hallways to my young son’s room. “Dad where are you...

Words: 904 - Pages: 4

Free Essay

Justin: One Night Only

...One Night With Justin January 17, 2007 is a night I will remember forever. It is the night my dreams became a reality for one night and one night only. On this day at 7:30P.M., at the Save-Mart Center in Fresno, California, I saw the man of my dream, My Love, Justin Timberlake. What made this night even better was the fact that I was about 20 feet from the stage. I had floor seats to the most amazing concert ever. My roommate and I were in heaven. Justin came to Fresno on his FutureSex/LoveSounds tour. Joining him on tour was female singer Pink, who was the opening act, and producer and rapper Timbaland, who joined Justin on stage for a new numbers, including a monologue of his own. Pink opened up the show at the stroke of 7:30. She came out in a denim tank top and denim pleaded skirt. She got the party started. Her performance was energetic and amazing. She even performed an acrobatic routine in the air. At around 9:00P.M., the teasing began. The band members slowly made their way to the stage and they began to play a little interlude. The arena, already lively, began screaming their heads off, crying, shaking, jumping up and down, and anticipating the moment when the most amazing man in the world would reveal himself. The first song started up. It was the title track FutureSex/LoveSounds. Justin emerged from the center of the stage, dressed in a black suit, with a white guitar around his neck. Silk screens were surrounding the entire round stage. The stage...

Words: 1686 - Pages: 7

Free Essay

English Summer Vacation

...My summer expectationLærke Emig Bloch Hansen | Engelsk Essay Sønderborg Statsskole 2.J | My summer expectationLærke Emig Bloch Hansen | Engelsk Essay Sønderborg Statsskole 2.J | Summer, Out of all the season's I can think of, there is only one that comes to mind. Summer, the best season of them all. I am that kind of person there have a plan for my summer vacation. I am looking forward to summer in months, and I always have an idea of what a fantastic summer it is going to be. There are many reasons to why I think summer is the best, I mean, with winter, spring, and the fall. They are all great seasons too, but summer blows them all out of the way. The days are getting longer and the nights getting shorter. School is over, so you have the freedom and time, to do anything you want. No more nerve-wrecking testes, homework, or projects. Summer is just the time for fun and relaxing. That is the way I always look at my summer. It was the first day in my summer vacation. I had promised myself, that this summer was going to be crazy. I would do something that no one ever could exceed. My summer would be a whole history of action, activity and excitement, my summer was going to be the one that, everybody would like to hear about. What I did, was I jumped out of.... No wait, more like trying to get up in a slow motion kind of way. Anyway, I was going to have an astonishing day, the first day of ‘Lærkes crazy summer’ could now start. What I did after being...

Words: 662 - Pages: 3